ชีวิตส่วนพระองค์ ของ พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี

พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี ทรงอภิเษกทั้งหมด 3 ครั้ง[15] มีพระโอรส-ธิดา 5 พระองค์ โดยเป็นพระโอรส 2 พระองค์ พระธิดา 3 พระองค์ ได้แก่

เฟาซียะห์แห่งอียิปต์

ในงานอภิเษกสมรสที่วังอาบิดิน ประเทศอียิปต์ ของพระองค์กับเจ้าหญิงเฟาซียะห์

เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ ประสูติเมื่อ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1921 พระราชธิดาในพระเจ้าฟูอัดที่ 1 แห่งอียิปต์ กับสมเด็จพระราชินีนาซลีแห่งอียิปต์ และพระราชขนิษฐาในพระเจ้าฟารุกที่ 1 แห่งอียิปต์ ชาห์ได้อภิเษกกับเจ้าหญิงเฟาซียะห์เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1939กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ และอภิเษกสมรสอีกครั้งที่กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน สองปีต่อมามกุฎราชกุมารแห่งอิหร่านก็เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแห่งอิหร่านต่อจากพระราชบิดา เจ้าหญิงเฟาซียะห์จึงดำรงพระอิสริยยศเป็นราชินีแห่งอิหร่าน

พระราชินีเฟาซียะห์ทรงเป็นนางแบบให้เซซิล บีตัน ถ่ายพระฉายาลักษณ์เพื่อตีพิมพ์ลงในนิตยสารไลฟ์ (Life) โดยนายเซซิล บีตันได้กล่าวชื่นชมพระราชินีองค์นี้ว่าทรงเป็น "เทพธิดาวีนัสแห่งเอเชีย" ทั้งยังเสริมว่า "มีพระพักตร์รูปหัวใจคมซีดเผือดผิดปกติ แต่มีดวงพระเนตรสีฟ้าอันเฉียบคม" และด้วยความที่เป็นสตรีที่ทรงพระสิริโฉมจึงถือว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่สวยที่สุดในโลกในขณะนั้น[16] ชาห์และพระราชินีเฟาซียะห์มีพระราชธิดาด้วยกัน 1 พระองค์ คือ เจ้าหญิงชาห์นาซ ปาห์ลาวี ซึ่งประสูติเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1940 แต่ความรักของทั้งสองกลับถึงทางตัน ภายหลังชาห์และพระราชินีเฟาซียะห์ได้ทรงหย่ากันอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1945 ที่ประเทศอียิปต์ และในปี ค.ศ. 1948 ที่ประเทศอิหร่าน โดยทางสำนักพระราชวังให้เหตุผลว่า "ด้วยสภาวะอากาศของเปอร์เซียทำให้สุขภาพของราชินีเฟาซียะห์ทรุดโทรม ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับพระขนิษฐากษัตริย์อียิปต์ที่ต้องการจะหย่า" และชาห์ก็ออกมาประกาศว่า "ไม่มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีที่มีอยู่ระหว่างอียิปต์กับอิหร่าน"[17] หลังจากการหย่าสมเด็จพระราชินีเฟาซียะห์ได้กลับได้ไปใช้พระอิสริยยศ เจ้าหญิงแห่งอียิปต์และซูดาน ตามเดิม ภายหลังเจ้าหญิงได้เสกสมรสกับอิสมาอิล ฮุสเซน ชีรีน และมีพระโอรส-ธิดา 2 องค์

โซรยา อัสฟานดียารี

ในงานอภิเษกสมรสที่วังโกเลสตาน ของพระองค์กับโซรยา

ชาห์ทรงอภิเษกสมรสครั้งที่สองกับสตรีสามัญชน นามว่านางสาวโซรยา อัสฟานดียารี-บักติยารี ประสูติเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1932 ณ โรงพยาบาลมิชชันนารีอังกฤษ เมืองอิสฟาฮาน[18] เป็นธิดาของนายคาลิล อัสฟานดิยารี และนางอีวา คาร์ล โดยบิดาของเธอเป็นอดีตเอกอัครราชทูตอิหร่านประจำประเทศเยอรมันตะวันตก และเป็นชาวอิหร่านเชื้อสายเผ่าบักติยารี[18] ส่วนมารดาเป็นชาวรัสเซียสัญชาติเยอรมัน โดยเธอเป็นญาติของซาดาร์ อาซาด ซึ่งเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวในรัฐธรรมนูญอิหร่านแห่งศตวรรษที่ 20[19] โซรยาได้รู้จักกับชาห์ จากการแนะนำของนางฟารุฆ ซาฟาร์ บักติยารี[18] ขณะที่โซรยายังศึกษาอยู่ในโรงเรียนฟินนิชิง ประเทศสวิตเซอร์แลนด์[19] โดยทั้งคู่ได้ทำการหมั้นกัน โดยของหมั้นในงานนี้คือแหวนเพชร 22.37 กะรัต[20] ชาห์และโซรยาได้อภิเษกสมรสกันเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1951 ณ พระราชวังโกเลสตาน (Golestan Palace) กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน[15] ซึ่งเดิมทั้งสองมีแผนที่จะจัดงานอภิเษกสมรสในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1950 แต่พิธีได้ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากโซรยาได้ล้มป่วยลง[21]

แต่ด้วยโซรยาไม่สามารถทำหน้าที่ให้กำเนิดรัชทายาทได้ โดยชาห์ทรงตรัสเรื่องนี้เป็นนัย เธอพยายามรักษาตามสถานพยาบาลต่างๆ แต่ก็ตระหนักดีว่าเธอจะไม่สามารถให้กำเนิดรัชทายาทได้ เธอจึงตัดสินใจหย่ากับชาห์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1958 และขณะนั้นชาห์ได้ให้ความสนพระทัยที่จะอภิเษกสมรสกับกับเจ้าหญิงมารีอา กาเบรียลลาแห่งซาวอย และพระราชธิดาของสมเด็จพระเจ้าอุมแบร์โตที่ 2 แห่งอิตาลี ซึ่งเรื่องราวของชาห์ที่พยายามจะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอิตาลีได้ถูกนำมาเรียกกันว่า "กษัตริย์มุสลิมกับเจ้าหญิงคาทอลิก" ส่วนหนังสือลอสเซวาตอเรโรมาโน (L'Osservatore Romano) ของสำนักวาติกันก็ได้เขียนอีกเช่นกันว่า "องุ่นพิษ"[22] ส่วนสมเด็จพระราชินีโซรยาหลังจากการหย่า จึงได้รับพระอิสริยยศเป็น เจ้าหญิงแห่งอิหร่าน และได้ผันตัวเป็นนักแสดงในยุโรประยะหนึ่ง[23] ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2001[24][25]

ฟาราห์ ดีบา

ชาห์กับฟาราห์

ชาห์ทรงอภิเษกสมรสครั้งที่สามกับสตรีสามัญชน นามว่านางสาวฟาราห์ ดีบา ประสูติเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1938 ณ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองทาบริซ ประเทศอิหร่าน[26] ธิดาของนายโซห์รับ ดีบา และนางฟารีเดห์ ฆอตไบ เธอมีเชื้อสายอเซอรี[27][28] โดยบิดาของเธอเป็นคนพื้นเมืองอาเซอร์ไบจาน (อิหร่าน) ส่วนพระมารดานั้นมีพื้นเพมาจากจังหวัดกิลาน ซึ่งตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลแคสเปียน[26]

เธอได้ไปศึกษาต่อ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยศึกษาทรงด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ปารีส ซึ่งทำให้เธอมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระเจ้าชาห์เป็นครั้งแรก เมื่อครั้งที่พระเจ้าชาห์เสด็จเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ ฟาราห์ได้เข้าเฝ้าพร้อมกับนักศึกษาชาวอิหร่านคนอื่นๆ ในสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีสในปี ค.ศ. 1959 และต่อมาก็มีโอกาสเข้าเฝ้าอีกหลายครั้งเมื่อเสด็จกลับอิหร่านในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ทั้งสองได้พัฒนาสัมพันธภาพ จนในที่สุดสำนักพระราชวังก็ประกาศหมั้นเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ในปีเดียวกัน และได้อภิเษกสมรสกันเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1959 และเธอเป็นพระมเหสีพระองค์แรกที่สามารถให้ประสูติกาลพระราชโอรสเพื่อสืบราชบัลลังก์ได้เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1960 และเป็นพระมเหสีเพียงพระองค์เดียวของประวัติศาสตร์อิหร่านที่ได้มีการเฉลิมพระอภิไธยเป็น จักรพรรดินี หรือ ชาห์บานู (شاهبانو) องค์แรกและองค์เดียวของอิหร่านยุคปัจจุบัน และยังทรงสถาปนาให้เป็น "จักรพรรดินีนาถผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" ในกรณีที่พระองค์สวรรคตหรือไม่สามารถปกครองประเทศได้ก่อนที่มกุฎราชกุมารจะเจริญพระชันษาครบ 21 ชันษา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับประเทศในตะวันออกกลาง[29] ชาห์และฟาราห์มีพระราชโอรส-ธิดา 4 พระองค์ ได้แก่

  1. มกุฎราชกุมารเรซา ปาห์ลาวี (ประสูติ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1960-) อภิเษกสมรสกับนางสาวยัสมิน อาเตมัด-อามินี มีพระธิดาด้วยกัน 3 พระองค์[15]
  2. เจ้าหญิงฟาราห์นาซ ปาห์ลาวี (ประสูติ 12 มีนาคม ค.ศ. 1963-)
  3. เจ้าชายอาลี เรซา ปาห์ลาวีที่ 2 (ประสูติ 28 เมษายน ค.ศ. 1966 - สิ้นพระชนม์ 4 มกราคม ค.ศ. 2011)[30][31] ทรงหมั้นกับซาราห์ ตาบาตาบัย[32] แต่มีพระธิดาเพียงพระองค์เดียวที่เกิดจากนางสาวราฮา ดีเดวาร์[33]
  4. เจ้าหญิงไลลา ปาห์ลาวี (ประสูติ 27 มีนาคม ค.ศ. 1970 – สิ้นพระชนม์ 10 มิถุนายน ค.ศ. 2001)[34]

หลังจากการปฏิวัติอิสลาม อดีตจักรพรรดินีฟาราห์ได้เสด็จลี้ภัยร่วมกับครอบครัว แต่ภายหลังการสวรรคตของพระสวามี อดีตจักรพรรดินีทรงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงพบกับพระสวามีครั้งแรก[34]

พระบรมศพของพระองค์ในประเทศอียิปต์

ใกล้เคียง

พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี พระเจ้าชาห์ เรซา ปาห์ลาวี พระเจ้าชาห์ ฟาตห์ แอลี ชาห์ กอญัร พระเจ้าชาร์ลที่ 10 แห่งฝรั่งเศส พระเจ้าชาร์ลที่ 3 แห่งฝรั่งเศส พระเจ้าชาร์ลที่ 7 แห่งฝรั่งเศส พระเจ้าชาร์ลที่ 6 แห่งฝรั่งเศส พระเจ้าชาร์ลที่ 9 แห่งฝรั่งเศส พระเจ้าชาร์ลที่ 5 แห่งฝรั่งเศส พระเจ้าชาร์ลที่ 8 แห่งฝรั่งเศส

แหล่งที่มา

WikiPedia: พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี http://www.avairan.com/bijan-nimrooz.htm http://www.bakhtiarifamily.com/soraya.php http://books.google.com/books?id=ZlptU4A2HkUC&prin... http://video.google.com/videoplay?docid=8405176709... http://www.iranchamber.com/history/rkhomeini/ayato... http://www.iranian.com/CyrusKadivar/2002/June/Sora... http://irannegah.com/video_browse.aspx?keyword=sha... http://www.konmun.com/Entertainment/id18751.aspx http://www.mehrnews.com/en/ http://www.muslimthai.com/main/1428/content.php?pa...